หลักการพลศึกษา
(Principle
of Physical Education)
เรียบเรียงโดย
ดร.เกียรติวัฒน์ วัชญากาญจน์,
คณะศึกษาศาสตร์ สถาบันการพลศึกษา
วิทยาเขตศรีสะเกษ,
2559
วิชาพลศึกษาแม้จะเป็นวิชาหนึ่งที่มีความสำคัญ
ในการที่จะพัฒนานักเรียนให้เป็นคนที่สมบูรณ์ตามพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ.
2542 และได้มีการบรรจุไว้ในหลักสูตรของโรงเรียนทุกระดับชั้นทั้งในระดับชั้นเด็กเล็ก ชั้นประถมศึกษา และชั้นมัธยมศึกษา เช่นเดียวกับวิชาอื่น ๆ ในโรงเรียนตั้งแต่ต้นมาแล้วก็ตาม
แต่โดยที่ลักษณะของวิชาพลศึกษามีความแตกต่างจากวิชาอื่น ๆ ค่อนข้างจะมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระและเนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน ตลอดจนสถานที่และวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเรียนการสอน ดังนั้น
จึงทำให้วิชาพลศึกษาต้องมีหลักการและปรัชญาการสอนที่เป็นรายละเอียดของตนเองที่แตกต่างจากการเรียนการสอนในวิชาอื่น
ๆ ตามไปด้วย
ดังนั้น
เพื่อให้การเรียนการสอนได้บรรลุผลตามที่ได้วางไว้ด้วยดี ในโอกาสนี้จึงใคร่จะขอกล่าวถึงหลักการพลศึกษาที่สำคัญเพื่อเป็นแนวทางเสียก่อน แต่เนื่องจากหลักการพลศึกษาที่เป็นรายละเอียดและสมบูรณ์นั้นมีค่อนข้างจะก้าวขวางและยืดยาว
เพราะว่าการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้น
มีปัจจัยสำคัญที่เป็นส่วนประกอบหลายอย่างหลายประการด้วยกัน คือนอกจากปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวครูผู้สอนเอง การจัดบทเรียน
การจัดกิจกรรมและประสบการณ์ต่าง ๆ
ในการเรียนการสอน บรรยากาศในการเรียนการสอนดังได้กล่าวมาแล้ว สถานที่และอุปกรณ์และวิธีการเรียนการสอน ก็ยังจะต้องมีการปรับเปลี่ยนตามสภาพการณ์ต่าง
ๆ อีกมากมายกว่าการเรียนการสอนวิชาอื่น
ๆ ในห้องเรียนโดยทั่วไปอีกด้วย จึงทำให้ไม่สามารถจะนำหลักการและปรัชญาต่าง
ๆ มากล่าวในโอกาสนี้ได้หมด
แต่เพื่อจะได้เป็นแนวทางพอที่จะจัดและดำเนินการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาให้ได้ผลดีตามหลักการและปรัชญาได้พอสมควร จึงขอนำหลักการและปรัชญาการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาเฉพาะที่สำคัญมาเสนอพอสังเขปดังต่อไปนี้
หลักการพลศึกษาเบื้องต้นที่จำเป็นและสำคัญที่ครูผู้สอนวิชาพลศึกษาควรจะได้รู้และระลึกไว้เสมอเพื่อจะได้นำมาเป็นแนวทางในการเรียนการสอนมีดังต่อไปนี้
1. วิชาพลศึกษาเป็นวิชาที่ใช้กิจกรรมพลศึกษาหรือกีฬาเป็นสื่อ
เพื่อให้นักเรียนได้มีการเรียนรู้หรือได้มีพัฒนาการขึ้น และการที่นักเรียนจะได้มีการเรียนรู้หรือมีพัฒนาการขึ้นตามที่กล่าวนี้ได้นั้น
ก็ด้วยการที่นักเรียนได้มีโอกาสลงมือเล่นหรือปฏิบัติจริงในกิจกรรมพลศึกษาหรือกีฬาต่าง
ๆ
ด้วยตนเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือเมื่อนักเรียนได้ลงเล่นกีฬาหรือได้ลงมือปฏิบัติจริงในกิจกรรมพลศึกษาต่าง
ๆ ด้วนตนเองแล้ว นักเรียนจึงจะเกิดการเรียนรู้หรือพัฒนาการในด้านต่าง
ๆ ขึ้นมาดังนี้ คือ
1.1 นักเรียนได้ลงมือเล่นกีฬา จึงทำให้ได้ออกกำลังกาย และทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงมากขึ้น
1.2 นักเรียนได้ลงมือเล่นกีฬา จำทำให้มีความรู้ ความเข้าใจในวิธีการเล่นและเข้าใจวีการที่เกี่ยวกับทักษะกีฬาต่าง
ๆ ที่ง่าย ๆ
และที่จำเป็นดีขึ้น
1.3 นักเรียนได้ลงมือเล่นกีฬา จึงทำให้มีการใช้ทักษะกีฬาต่าง ๆ
ทำให้ได้ฝึกทักษะกีฬาช่วยทำให้มีทักษะการกีฬาเบื้องต้นที่ง่าย ๆ ดีขึ้น
1.4 นักเรียนได้ลงมือเล่นกีฬา จึงทำให้นักเรียนได้มีโอกาสปฏิบัติตามกติกาการเล่นกีฬา และการมีน้ำใจนักกีฬา เป็นผลให้นักเรียนมีระเบียบวินัย มีน้ำใจนักกีฬามากขึ้น
1.5 นักเรียนได้ลงเล่นกีฬาด้วยความสนุกสนาน ทำให้นักเรียนได้รู้รสในความสนุกสนานของการมีส่วนร่วมในการเล่นกีฬา ทำให้มีความรักและชอบการกีฬา และเห็นคุณค่าและความสำคัญของการกีฬาอยากเล่นกีฬาและออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันต่อไปอีกเรื่อย
ๆ
พัฒนาการในด้านต่าง ๆ ทั้ง
5
ด้านตามที่กล่าวนี้เป็นพัฒนาการที่จะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในขณะเดียวกับกับที่นักเรียนได้ลงเล่นกีฬาด้วยตนเองทั้งสิ้น หรือถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือว่า
วิชาพลศึกษาเป็นวิชาที่เป็นไปตามหลักการเรียนรู้ที่ว่า “เป็นการเรียนรู้ด้วยการกระทำหรือการลงมือปฏิบัติจริง” (Learning by
Doing) นั่นเอง
2. ด้วยเหตุผลที่กล่าวแล้วในข้อ 1
จึงมีสิ่งที่สำคัญ 2
ประการที่ครูพลศึกษาควรจะต้องจำไว้ในเวลาสอนวิชาพลศึกษา คือ
ประการแรก
ทุกครั้งหรือทุกคาบของการสอน
ครูจะต้องตั้งจุดประสงค์การเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนได้มีพัฒนาการทั้ง 5
ด้านตามที่ได้กล่าวมาแล้วในข้อ
1 พร้อม ๆ กัน
คือ (1) ด้านสมรรถภาพทางร่างกาย (2)
ด้านความรู้และความเข้าใจในวิธีการเล่นหรือกติกาการเล่นที่ง่าย ๆ (3)
ด้านทักษะการเล่นกีฬาที่ง่าย ๆ
พอเป็นพื้นฐานที่จะนำไปใช้เล่นตามอัตภาพของตนเองได้ (4)
ด้านคุณธรรม เช่น การมีระเบียบวินัยและการมีน้ำใจนักกีฬา (5)
ด้านเจตคติที่ดี คือ
การเห็นคุณค่าและความสำคัญของการเล่นกีฬาและการออกกำลังกาย
ในประการที่สอง สิ่งที่ครูพลศึกษาจะต้องจำไว้ก็คือ
ในทุกครั้งหรือทุกคาบของการเรียนการสอนวิชาพลศึกษานั้น ครูจะต้องจัดกิจกรรมพลศึกษาหรือกีฬาให้นักศึกษาหรือกีฬาให้นักเรียนได้ลงมือเล่นและปฏิบัติด้วยตนเองจริง
ๆ ทุกครั้งหรือทุกคาบเสมอ เพราะการที่นักเรียนจะมีพัฒนาการตามจุดประสงค์การเรียนรู้ตามที่ได้วางไว้ดังได้กล่าวมาแล้วหรือไม่
จะขึ้นอยู่กับการได้ลงมือเล่นกีฬาหรือปฏิบัติจริงด้วยตนเองเป็นสำคัญ ดังนั้น
ในการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาที่ดีและถูกต้อง
ครูจึงจำเป็นจะต้องจัดและดำเนินการในการเรียนการสอนให้นักเรียนได้ลงมือเล่นกีฬาหรือปฏิบัติจริงด้วยตนเองให้มากที่สุดที่จะมากได้
3. เหตุผลที่สำคัญเบื้องต้นอย่างหนึ่งในการจัดให้มีการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาในโรงเรียนตั้งแต่เริ่มแรกนั้นก็คือ
เพื่อเป็นการสนองความต้องในการออกกำลังกายของนักเรียน เพื่อช่วยให้นักเรียนได้มีสุขภาพที่แข็งแรง มีพลานามัยที่สมบูรณ์เป็นสำคัญ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามหลักการที่ว่า ร่างกายของทุกคน ทุกเพศ
ทุกวัย
ตั้งแต่เกิดจนกระทั้งตายนั้นล้วนต้องการการออกกำลังกาย
เพื่อรักษาไว้ซึ่งสุขภาพและสมรรถภาพของร่างกายให้ดีและสมบูรณ์อยู่เสมอทั้งสิ้น ดังนั้น
เพื่อให้การเรียนการสอนวิชาพลศึกษาได้เป็นไปตามหลักการที่กล่าวมานี้
ในการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาทุกคาบหรือทุกชั่วโมงการเรียนการสอนนั้น ก่อนอื่นจะต้องมีการเริ่มต้นด้วยการให้นักเรียนได้ลงเล่นหรือลงมือปฏิบัติจริงในกิจกรรมพลศึกษาต่าง
ๆ ด้วยตนเอง ทั้งนี้อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อเป็นการสนองความต้องการการออกกำลังกายของนักเรียนตามที่กล่าวมาแล้วเป็นเบื้องต้นก่อน
4. แต่อย่างไรก็ตาม
การสอนวิชาพลศึกษาโดยให้นักเรียนได้ออกกำลังกายเพื่อสนองความต้องการของร่างกายตามที่ได้กล่าวมาแล้วในข้อ 3 นั้น แม้ว่าจะเป็นจุดของการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาที่สำคัญอย่างหนึ่งก็ตาม
แต่ก็ยังเป็นการสอนที่ถือว่ายังไม่ได้ผลที่สมบูรณ์เพียงพอ
เพราะว่าการสอนการเรียนวิชาพลศึกษาแต่ละครั้งนั้น ถ้าครูได้จัดและดำเนินการเลือกกิจกรรม และวิธีการเรียนการสอนให้ถูกต้องและเป็นไปตามหลักการพลศึกษาแล้ว จะทำให้กระบวนการเรียนการสอนนั้นสามารถบรรลุผลได้หลายด้านควบคู่พร้อม
ๆ กันไปได้อีก คือ
นอกจากนักเรียนจะได้ออกกำลังกายเพื่อสนองความต้องการของร่างกายและทำให้ร่างกายแข็งแรงดังที่ได้กล่าวในข้อ 3
แล้ว นักเรียนยังจะได้ (1)
มีความรู้ความเข้าใจในวิธีการเล่นกีฬาและกติกาการเล่นต่าง ๆ (2)
มีทักษะเบื้องต้นต่าง ๆ
ในการกีฬาสามารถนำไปเล่นในเวลาว่างตามอัตภาพของตนเองได้ (3)
มีระเบียบวินัย
มีน้ำใจนักกีฬา (4) เห็นคุณค่า
มีความรัก
และมีเจตคติที่ดีต่อการเล่นกีฬาและการออกกำลังกายอีกด้วย
ดังนั้น ในการสอนวิชาพลศึกษาที่ถูกต้องทุกครั้งและทุกคาบการเรียนการสอนนั้น ครูจึงควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตลอดจนวิธีการสอนต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียนได้รับประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ให้ครบทุก ๆ
ด้านทั้ง 5 ด้านตามที่ได้กล่าวมาแล้วควบคู่กันพร้อม ๆ กันไปด้วย
จึงจะสามารถกล่าวได้ว่าการเรียนการสอนนั้นเป็นการเรียนการสอนที่มีความเป็นวิชาพลศึกษาที่สมบรูณ์อย่างแท้จริงได้
กล่าวโดยสรุปแล้วก็คือว่า ในการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาที่ดีและถูกต้องตามหลักการของการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาในแต่ละคาบ
หรือในแต่ละชั่วโมงที่จะได้ผลสมบรูณ์ที่แท้จริงนั้น ก็คือจะต้องจัดการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนได้บรรลุผลหรือได้มีพัฒนาการทั้ง 5
ด้านควบคู่กันพร้อม ๆ
กันไปในขณะเดียวกันเสมอในทุกคาบการเรียนด้วยดังต่อไปนี้ คือ
4.1 ให้นักเรียนได้มีร่างกายแข็งแรง มีสมรรถภาพทางร่างกายที่ดี มีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์
4.2 ให้นักเรียนได้มีความรู้ความเข้าใจในระเบียบและวิธีการเล่นเบื้องต้นที่ง่าย
ๆ และที่จำเป็น
4.3 ให้นักเรียนได้มีทักษะในการเล่นกีฬาที่จำเป็นและที่ง่าย
ๆ
สามารถนำไปเล่นในเวลาว่างตามอัตภาพของตนเองได้
4.4 ให้นักเรียนได้มีคุณธรรม เช่น
การมีระเบียบวินัย
การมีน้ำใจเป็นนักกีฬา เป็นต้น
4.5 ให้นักเรียนเห็นคุณค่าและความสำคัญของการเล่นกีฬาตลอดจนการออกกำลังกาย
ซึ่งจะเป็นการนำไปสู่การมีเจตคติที่ดีต่อการเล่นกีฬาและการออกกำลังกายต่อไป
5. มาตรฐานการเรียนรู้ที่ได้กำหนดไว้ในแต่ละสาระของกลุ่มสาระของกลุ่มวิชาสุขศึกษาและพลศึกษาตามที่ได้วางไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.
2551
นั้นก็คือสิ่งที่หลักสูตรได้คาดหวังไว้ว่า
เมื่อนักเรียนได้เรียนจบตามหลักสูตรแล้ว
นักเรียนควรจะมีพัฒนาการไปในทางด้านไหนอย่างไร ดังนั้น
มาตรฐานการเรียนรู้นั้น ก็คือ จุดมุ่งหมายของหลักสูตรกลุ่มวิชาสุขศึกษาและพลศึกษานั่นเอง
จากการวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรขั้นพื้นฐาน พ.ศ.
2551 ใน พ 3.1
และ พ 3.2 ของสาระที่ 3
และมาตรฐานการเรียนรู้ พ 4.1
ของสาระที่ 4 จะเห็นได้ว่า
มาตรฐานการเรียนรู้ดังกล่าวนี้เป็นมาตรฐานหรือจุดหมายของหลักสูตรที่เป็นไปตามหลักการและปรัชญาของการพลศึกษาตามที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ
เป็นจุดหมายที่มุ่งให้นักเรียนได้มีพัฒนาการทั้งใน (1)
ด้านสมรรถภาพทางกาย (2) ด้านทักษะการกีฬา (3)
ด้านความรู้ความเข้าใจในวิชาพลศึกษา
(4) ด้านคุณธรรม เช่น
การมีน้ำใจนักกีฬา (5)
ด้านเจตคติที่ดีต่อการเล่นกีฬาและการออกกำลังกาย ดังนั้น
การเรียนการสอนวิชาพลศึกษาตามหลักสูตรของกลุ่มวิชาสุขศึกษาและพลศึกษาเป็นการเรียนการสอนที่มุ่งเพื่อให้นักเรียนได้มีพัฒนาการในทุก
ๆ ด้านพร้อม ๆ กันทั้ง 5
ด้านตามที่กล่าวมาแล้วเช่นเดียวกัน
6. วิชาพลศึกษาเป็นวิชาที่สอนเพื่อให้นักเรียนได้นำทั้งความรู้และประสบการณ์ต่าง
ๆ ในทุก ๆ ด้านที่ได้จากการเรียนมาแล้ว ไปใช้และปฏิบัติเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองในชีวิตประจำวัน ทั้งในระหว่างที่เรียนอยู่ในโรงเรียน
หรือหลังจากได้เรียนสำเร็จจากโรงเรียนออกไปประกอบอาชีพการงานอย่างอื่นแล้วก็ตามตลอดไปด้วย
มากกว่าที่จะเรียนเพื่อรู้หรือเพื่อสอบและได้คะแนนเพียงอย่างเดียว
ดังนั้น
ทุกครั้งของการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาครูจึงจะต้องจัดกิจกรรม จัดบรรยากาศ
และวิธีการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนได้มีทักษะ มีความรู้ความเข้าใจ มีเจตคติที่ดีเพียงพอ
ที่จะทำให้นักเรียนได้มีความผูกพันกับวิชาพลศึกษา และนำผลการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาที่ได้เรียนไปแล้วนั้นไปใช้ในชีวิตจริง
ๆ ให้ได้ทุกครั้งไปด้วย
7. หลักการและอุดมคติของการพลศึกษาที่สำคัญอย่างหนึ่งนั้น คือ
การพัฒนาเพื่อความเป็นคนที่สมบูรณ์ในสังคมที่มีชีวิตอยู่ เช่น
การเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง
มีสุขภาพสมบูรณ์ มีบุคลิกภาพดี มีน้ำใจนักกีฬา มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และมีอารมณ์หนักแน่นมั่นคง เป็นต้น
ดังนั้น
หลักการสอนวิชาพลศึกษาเบื้องต้นที่จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งอย่างหนึ่งนั้นก็คือ ครูผู้สอนวิชาพลศึกษานั้นนอกจากจะเป็นผู้ที่ที่มีความรู้ความเข้าใจในวิชาพลศึกษาเป็นอย่างดีแล้ว ก็จะต้องเป็นผู้ที่มีอุดมคติ มีความรัก
และความศรัทธาในวิชาชีพของตนเองอย่างแท้จริงด้วย โดยการทำตนและปฏิบัติตนตามอุดมคติของการพลศึกษา เพื่อเป็นตัวอย่างของการมีอุดมคติให้นักเรียนได้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมตลอดเวลาด้วย
ตัวอย่างอุดมคติของการพลศึกษาที่นักเรียนได้พบและเห็นอย่างเป็นรูปธรรมในตัวครูนี้เท่านั้น จะเป็นสิ่งสำคัญช่วยให้นักเรียนได้มีความเข้าใจและเห็นคุณค่าของวิชาพลศึกษาอย่างแท้จริงได้
8. จุดประสงค์การเรียนรู้ทางด้านทักษะกีฬาในชั่วโมงหรือคาบการเรียนวิชาพลศึกษาทั้งในระดับชั้นประถมศึกษาและในระดับชั้นมัธยมศึกษานั้น เป็นกระบวนการเรียนการสอน
ที่มุ่งเพื่อให้นักเรียนได้มีทักษะทางด้านกีฬาให้สามารถนำไปใช้เล่นได้เวลาว่างตามอัตภาพของตนเองเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อให้เล่นกีฬาเก่งให้มาก ๆ ตามที่มักเข้าใจกัน ดังนั้น
การเรียนการสอนวิชาพลศึกษาในแต่ละครั้ง
ครูจึงควรนำเฉพาะทักษะที่จำเป็นและที่จะช่วยให้นักเรียนสามารถนำกีฬานั้นไปใช้เล่นในเวลาว่างได้เท่านั้นมาสอน
สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการที่จะเล่นเก่งในกีฬาชนิดใดชนิดหนึ่งให้มากๆ
เป็นพิเศษนั้น ควรจะเป็นการเรียนหรือฝึกนอกเวลาเรียนต่างหาก
หรือจัดให้มีการเรียนการสอนภายหลังจากนักเรียนทุกคนในชั้นเรียนได้เรียนและมีทักษะที่จำเป็นต่างๆ
และสามารถเล่นกีฬานั้นๆ ได้หมดทุกคนแล้วเท่านั้น
9.
จุดประสงค์การเรียนรู้สำหรับนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาทางด้านทักษะ อาจจะมุ่งเน้นการเรียนในด้านทักษะการเคลื่อนไหวเบื้องต้นทั่ว
ๆ ไป
และทักษะพื้นฐานของการกีฬาเพื่อเตรียมพร้อมให้นักเรียนนำไปใช้ในการเล่นเกมมูลฐาน
และเกมที่จะนำไปสู่การเล่นกีฬาใหญ่ตามระดับความสามารถของนักเรียนแต่ละวัยได้ต่อไปเป็นสำคัญ
ส่วนจุดประสงค์การเรียนรู้สำหรับนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาในด้านทักษะกีฬานั้น
ควรจะเน้นให้นักเรียนได้มีทักษะพื้นฐานที่ง่ายๆ ในกีฬาต่างๆ
เพื่อให้สามารถนำไปใช้เล่นกีฬาในเวลาว่างได้ตามอัตภาพของตนเองเป็นสำคัญดังได้กล่าวมาแล้ว
มากกว่าที่จะมุ่งเน้นให้นักเรียนมีความสามารถหรือเก่งกีฬาเพื่อเป็นนักกีฬาหรือตัวแทนไปทำการแข่งขันกีฬาในระดับต่างๆ
ได้ กีฬาบางชนิดอาจจะมีทักษะหลายๆ อย่าง และทักษะกีฬาบางอย่างก็เป็นทักษะที่ยากๆ
ต้องใช้เวลาเรียนและฝึกซ้อมในเวลาเรียนมาก
จึงทำให้ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะทำให้นักเรียนสามารถเรียนหรือฝึกทักษะที่ยากๆ
เหล่านั้นภายในเวลาที่จำกัดนี้ได้
10. การเรียนรู้เกี่ยวกับทักษะต่างๆ
ทักษะการเคลื่อนไหวเบื้องต้นและทักษะการกีฬา ควรจะเริ่มให้นักเรียนได้เรียนรู้หรือฝึกหัดตั้งแต่วัยเด็ก
ทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครองนักเรียน และครูล้วนเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากในการที่จะพัฒนาทักษะเบื้องต้นให้มีขึ้นในตัวเด็กเหล่านั้น
ดังนั้น ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายโรงเรียนหรืออื่นๆ
ควรจะจัดให้นักเรียนได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเคลื่อนไหวต่างๆ ให้มากที่สุด
เช่น มีสถานที่ในการเดิน การวิ่ง มีอุปกรณ์ ในการกระโดด การขว้าง การปา การเตะ
ไว้อย่างพร้อมมูลและเพียงพอ
11. การเปิดโอกาสให้เด็กเล็ก ๆ ได้มีการพัฒนาทักษะเบื้องต้นต่าง ๆ ในระยะแรก ๆ
ควรให้เป็นไปตามธรรมชาติของเด็กเป็นสำคัญ
การมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ
ควรจะให้เป็นไปด้วนความสนุกสนาน
ไม่ควรทำให้เด็กรู้สึกว่าถูกบังคับ
มิฉะนั้นแล้วเด็กจะเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือต่อต้านการมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้น
ๆ ได้
12. ในการเรียนการสอนแต่ละครั้งนั้นครูควรให้นักเรียนมีความเข้าใจในจุดประสงค์การเรียนรู้นั้นโดยชัดเจนด้วย ทั้งนี้เพื่อจะช่วยให้นักเรียนได้ทราบว่า ในการเรียนการสอนในครั้งนั้น ๆ ครูมีความคาดหวังอะไรจากนักเรียน เป็นการช่วยให้นักเรียนได้ใช้ความคิดพิจารณาไตร่ตรองหาหนทางว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ตามที่ครูคาดหวังไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการเรียนเกี่ยวกับทักษะการกีฬานั้น การที่นักเรียนได้มีโอกาสคิด พิจารรา
พร้อมทั้งศึกษาเพื่อจะหาวิธีแก้ไขข้อบกพร่องของการฝึกหัดทักษะนั้นควบคู่กันไปด้วย จะทำให้การเรียนของนักเรียนได้ผลดีขึ้นอีกมาก
13. การเรียนรู้ของนักเรียนนั้นจะขึ้นอยู่กับความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจของนักเรียนด้วยคือทางด้านร่างกายของนักเรียนเองก็อยู่ในสภาพที่จะเคลื่อนไหวในกิจกรรมต่าง
ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น
มีกำลังร่างกายที่แข็งแรง มีสุขภาพดี
ส่วนทางด้านจิตใจนั้นนักเรียนมีใจจดจ่อรักที่จะเรียน
สามารถจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเคลื่อนไหวหรือการกีฬาต่าง ๆ ด้วยความเต็มใจการเรียนรู้จึงจะเกิดขึ้น
14. การเรียนการสอนวิชาพลศึกษาที่จะช่วยให้บรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ทั้ง 5
ด้านตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
ควรจะมุ่งที่การจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้ลงมือเล่นและมีส่วนร่วมในสภาพการณ์ของเกมและกีฬานั้นด้วยความสนุกสนานควบคู่กันไปด้วยให้มาก
ๆ คือ
แทนที่จะเน้นการแยกทักษะมาฝึกให้ถูกต้องดีเป็นอย่าง ๆ เพียงอย่างเดียวหมดทุกอย่างเสียก่อน แล้วจึงจะเล่นเกมได้ เพราะการกระทำนั้นอาจจะทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย
และในขณะเดียวกันนักเรียนไม่มีโอกาสเรียนรู้ในพฤติกรรมอื่น ๆ ที่ควรจะมีในระหว่างกระบวนการเรียนการสอนนั้น
ๆ ด้วย
ทักษะกีฬาบางอย่างอาจจะมีความจำเป็นที่นักเรียนควรจะได้มีการฝึกซ้อมก่อนบ้างตามสมควร แต่เมื่อสามารถปฏิบัติได้ดีพอสมควรแล้ว
ก็ควรจะเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เล่นเกมหรือกีฬาประเภทนั้นควบคู่ไปด้วยเลย
15. การเล่นเกมและกีฬาด้วยความสนุกสนานในสภาพจริงในเวลาเรียนนั้น
จะมีผลประโยชน์เกิดขึ้นแก่นักเรียนทันทีทันใดโดยตรงพร้อม ๆ กันหลายประการด้วยกัน โดยจะขอกล่าวแต่พอสังเขปดังต่อไปนี้
15.1 นักเรียนได้เล่นเกมหรือกีฬาด้วยความสนุกสนานตามธรรมชาติและความรู้สึกที่แท้จริงทำให้ได้มีการแสดงออกทั้งทางด้านร่างกาย และทางด้านอารมณ์หรือความรู้สึกได้อย่างเต็มที่ นักเรียนจะมีความสนุกสนานในการเรียน
และวิธีการนี้จะช่วยให้นักเรียนได้มีความรัก เห็นความสำคัญและคุณค่าของการเล่นกีฬาและการออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย
15.2 นักเรียนได้มีโอกาสเล่น มีโอกาสเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตามธรรมชาติและตามลักษณะของเกมหรือกีฬานั้น
ๆ ได้อย่างแท้จริง ทำให้ได้ออกกำลังกาย
ร่างกายมีความแข็งแรงและมีการเจริญเติบโตตามธรรมชาติได้อย่างเต็มที่
15.3 นักเรียนได้มีโอกาสนำความรู้และประสบการณ์ต่าง
ๆ
ที่ได้เรียนมาใช้เพื่อความสนุกสนานในสภาพการณ์ของการเล่นเกมและกีฬาจริง
ๆ ทำให้มีความรู้ ความเข้าใจ
และมีประสบการณ์ต่าง ๆ
ยิ่งขึ้นและในขณะเดียวกันสิ่งที่ได้เรียนรู้เหล่านั้นก็ได้มีความหมายต่อนักเรียนมากยิ่งขึ้น
15.4 นักเรียนได้มีโอกาสปฏิบัติตามกติกาการเล่น ตามระเบียบข้อบังคับที่วางไว้ นักเรียนได้มีการปะทะสัมพันธ์กันในระหว่างเพื่อน
ๆ ร่วมเล่นด้วยกัน มีการกระทบกระทั่ง มีการรู้จักยับยั้งชั่งใจต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างผู้เล่นด้วยกัน และอื่น ๆ
อีกมาก ซึ่งสภาพและเหตุการณ์ต่าง ๆ
เหล่านี้จะเป็นเครื่องช่วยกล่อมเกลาอุปนิสัยใจคอนักเรียนให้เป็นผู้ที่มีระเบียบวินัยและมีน้ำใจนักกีฬาต่อไป
15.5 นักเรียนได้มีโอกาสทักษะการเล่นเกมและกีฬามาใช้ในสภาพการณ์จริง
ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการฝึกให้นักเรียนมีความชำนาญในทักษะเกมหรือกีฬานั้น
ๆ ดียิ่งขึ้นไปในตัวด้วย
15.6 การที่นักเรียนได้มีโอกาสเล่นด้วยความสนุกสนาน
ได้แสดงความรู้ความสามารถและทักษะในการเล่นกีฬาของตนเองในขณะเล่นได้อย่างเต็มที่ ได้แสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ออกมาตามความรู้ที่เป็นจริงเช่นนี้ เป็นวิธีการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาโดยให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง ทำให้นักเรียนได้มีพัฒนาการตามศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่
15.7 นักเรียนมีมีความสนุกสนานในการเล่น ได้มีการแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ
ออกมาอย่างเต็มที่ตามความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง ดังนั้น
การที่ให้นักเรียนได้แสดงความรู้สึกจริง ๆ
ของตนเองออกมาเช่นนี้ทำให้ครูสามารถพฤติกรรมที่แท้จริงของเด็กแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
ถ้านักเรียนคนไหนที่มีพฤติกรรมที่ดีครูก็สามารถส่งเสริมและสนับสนุนพฤติกรรมของเด็กนั้น
ๆ ให้ดียิ่งขึ้นต่อไปอีก และถ้านักเรียนคนไหนมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของสังคมก็สามารถแก้ไขได้โดยทันที มิฉะนั้นก็อาจจะสายเกินแก้ก็ได้ ด้วยเหตุนี้ในหมู่นักสังคมวิทยา นักการศึกษา
และการพลศึกษาจึงได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่า “ห้องพลศึกษาคือห้องปฏิบัติการที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่งของโรงเรียน”
15.8 ผลดีที่ได้จากการที่จัดให้นักเรียนได้มีโอกาสเล่นในสภาพของการเล่นเกมหรือกีฬาจริง
ๆ ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ความผูกพันที่นักเรียนจะมีต่อการเรียนวิชาพลศึกษา
จะทำให้นักเรียนมีความประทับใจอยากจะมาเรียนหรืออยากจะมาเล่นอีก ถึงแม้ว่านักเรียนได้ออกจากโรงเรียนไปแล้วก็ตาม ความสำเร็จและประสบการณ์ที่ดี ๆ ต่าง ๆ
จากการเรียนและการเล่นก็จะฝังอยู่ในใจตลอดเวลา ทำให้นักเรียนรักและอยากออกกำลังหรือเล่นกีฬาอีกต่อไปเรื่อย
ๆ
สรุปแล้วก็หมายความว่า ในขณะที่นักเรียนได้เล่นเกมหรือกีฬานั้นไป
ก็จะทำให้นักเรียนได้มีการเรียนรู้และมีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ พร้อม ๆ
กันในหลาย ๆ ประการ ดังนั้น
การเรียนการสอนวิชาพลศึกษาครูจึงเน้นให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยการให้นักเรียนมีส่วนร่วมในสภาพการณ์ของการเล่นเกมหรือกีฬานั้นจริง
ๆ
มากกว่าที่จะเน้นด้วยแบบฝึกทักษะเพียงอย่างเดียว
16. การสอนวิชาพลศึกษาที่ดีและที่จะบรรลุผลตามที่ได้วางไว้นั้น
จะต้องเป็นการสอนที่มีการใช้หลักการทางด้ายวิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นแนวทางในการสอนด้วยเสมอ ทั้งนี้เพราะว่าวิทยาศาสตร์การกีฬาจะช่วยบอกให้เรารู้ว่า
การเรียนการสอนวิชาพลศึกษาที่จะทำให้บรรลุผลดีนั้นควรจะมีหลักการในการสอนนักเรียนในแต่ละระดับนั้นอย่างไร เช่น
วิชาสรีรวิทยาการกีฬาจะช่วยบอกให้รู้ว่า
ควรจะเลือกกิจกรรมกีฬาหรือกิจกรรมการออกกำลังกายอะไร จึงจะเหมาะสมกับเพศและวัย
และหลักการสำคัญที่ทำให้นักเรียนได้มีความแข็งแรงนั้นมีว่าอย่างไร แล้ววิชาพลศึกษาก็จะเป็นผู้นำกิจกรรมและวิธีการที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงเหล่านี้มาเป็นแนวทางในการสอนนักเรียนในแต่ละระดับชั้นให้เหมาะสมและเป็นผลดีในแต่ละเพศและวัยต่อไป
17. สำหรับวิชาจิตวิทยาการกีฬา
จะช่วยบอกให้รู้ว่าควรจะใช้วิธีการเรียนการสอนอะไรและมีหลักการในการเรียนการสอนอย่างไร จึงจะทำให้นักเรียนได้มีความเข้าใจ มีทักษะในการเล่นเกมหรือกีฬาได้ง่าย และในขณะเดียวกันนักเรียนก็มีความสนใจ มีความรักในการเล่นกีฬา และไม่มีความเบื่อหน่าย
แล้ววิชาพลศึกษาก็จะนำหลักการทางจิตรวิทยาการกีฬามาใช้เป็นหลักและแนวทางในการเรียนการสอนกิจกรรมกีฬาและการออกกำลังกายเหล่านั้นต่อไป และก็เช่นเดียวกัน
เพื่อให้การเรียนการสอนนั้นได้ผลทางด้านการมีน้ำใจนักกีฬาดีขึ้นเพิ่มเติมขึ้นมาอีก
ผู้สอนวิชาพลศึกษาก็จะนำหลักการทางวิชาสังคมวิทยาการกีฬามาเป็นหลักการและแนวทางในการเรียนการสอนด้วย ดังนั้น
วิชาพลศึกษาที่แท้จริงก็คือ
เป็นวิชาที่นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์การกีฬามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่นักเรียนอีกทอดหนึ่งนั่นเอง หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า
วิชาพลศึกษาเป็นการนำศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์การกีฬามาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์แก่นักเรียนอีกต่อหนึ่งก็ได้ ดังนั้น
วิทยาศาสตร์การกีฬาจึงเป็นหลักวิชาการที่มีความจำเป็นและสำคัญต่อการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาเป็นอย่างมาก การสอนวิชาพลศึกษาที่ดีและเป็นประโยชน์แก่นักเรียนอย่างแท้จริงนั้น
จึงจำเป็นจะต้องนำหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาดังได้กล่าวมาแล้วเป็นแนวทางในการเรียนการสอนด้วยเสมอ
18. ในปัจจุบันนี้ได้มีการศึกษาค้นคว้าทำให้มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาในด้านต่าง
ๆ ที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาได้อย่างมากมาย เช่น
ในด้านสรีรการกีฬา
จิตวิทยาการกีฬา สังคมวิทยาการกีฬา เวชศาสตร์การกีฬา โภชนาการการกีฬา กลศาสตร์ทางการกีฬา และอื่น ๆ
อีกเป็นอันมากครูผู้สอนวิชาพลศึกษาทุกคนควรจะได้ศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์การกีฬาต่าง
ๆ
เหล่านี้มาใช้เป็นแนวทางในการเรียนการสอนด้วยทุกครั้ง
19. ทำนองและเนื้อร้องเพลงกราวกีฬาที่เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี หรือที่รู้จักกันในนามของ “ครูเทพ”
ได้ร้อยกรองไว้เป็นเวลานานมาเกือบหนึ่งร้อยปีมาแล้วนั้น นับว่าเป็นทำนองที่มีความเร้าใจ พร้อมทั้งได้สรุปคุณค่าของการเล่นกีฬาหรือการพลศึกษาไว้ในเนื้อร้องได้อย่างรวบรัด ชัดเจน
มีความหมายลึกซึ้ง
แต่ง่ายต่อการเข้าใจของนักเรียน
ครูผู้สอนวิชาพลศึกษา
ผู้เล่นกีฬา
หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นครูผู้สอนวิชาพลศึกษาจึงควรจะได้ใช้ประโยชน์และคุณค่าของทำนองและเนื้อร้องดังกล่าวนี้ช่วยให้การเรียนการสอนได้มีความครึกครื้น สนุกสนาน
ไม่เบื่อหน่าย
และในขณะเดียวกันก็ช่วยให้นักเรียนเข้าใจในความหมายและคุณค่าของการเล่นกีฬาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
20. การเรียนการสอนที่จะได้ผลดีนั้น คือการที่ผู้เรียนมีความสุขและความพอใจในประสบการณ์และผลที่เกิดขึ้นจากการเรียน ทั้งนี้โดยหลักของจิตวิทยาการกีฬาที่ว่า
นักเรียนจะชอบเรียนหรือชอบเล่นกีฬาหรือฝึกหัดในกีฬาที่ตนเองมีประสบการณ์ที่ดี เช่น
สามารถทำได้ดี
มีความสำเร็จในกีฬานั้น ๆ
เสมอ ในขณะเดียวกันก็ขาดความสนใจหรืออยากที่จะเรียนหรือเล่นในกิจกรรมหรือกีฬาที่ตนเองมีหรือได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีนั้นมาก่อน ดังนั้น
เพื่อให้การเรียนการสอนนั้นได้ผลดียิ่งขึ้น
ครูผู้สอยวิชาพลศึกษาควรจะนำหลักจิตวิทยาการกีฬามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการเรียนการสอนด้วย คือ
ในการเรียนการสอนทุกครั้ง ครูควรจะจัดกิจกรรมให้นักเรียนสามารถเรียนได้ ทำได้
มีความสำเร็จในการเรียนและมีความสนุกสนานในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือกีฬาที่สอนนั้นอย่างทั่วถึงกันตามอัตภาพของตนเองเสมอ
21. วิธีการสอนวิชาพลศึกษามีหลายแบบและหลายวิธีด้วยกัน และแต่ละวิธีก็อาจจะเป็นวิธีการสอนที่จะช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้เพียงอย่างหนึ่งอย่างใด หรือเพียงสองหรือสามจุดประสงค์เท่านั้น
และเนื่องจากการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาในแต่ละครั้งนั้นเป็นการเรียนการสอนที่มุ่งให้นักเรียนได้มีพัฒนาการในหลาย
ๆ ด้านไปพร้อม ๆ กัน
ดังได้กล่าวมาแล้ว ดังนั้น
ในการเรียนการสอนนักเรียนในแต่ละครั้งนั้นได้บรรลุผลอย่างแท้จริง ครูจึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการสอนหลาย
ๆ วิธีเพื่อช่วยให้การสอนนั้นสามารถบรรลุจุดประสงค์ในหลาย ๆ ด้านเหล่านั้นไปพร้อม ๆ กันด้วย
22. การเรียนการสอนวิชาพลศึกษานั้นครูควรกำหนดเวลาการเรียนการสอนและมีการกระจายเวลาในการเรียนการสอนให้มีความพอเหมาะพอดีด้วย ตามหลักของจิตวิทยาการกีฬาแล้ว การเรียนรู้ของนักเรียนจะได้ผลดีขึ้น เมื่อนักเรียนได้มีโอกาสได้เรียนบ่อย ๆ ครั้งในระยะเวลาสั้น ๆ
จะทำให้มีการเรียนรู้ดีกว่าการเรียนเป็นระยะเวลายาวนาน แต่เป็นการเรียนที่นาน ๆ จะมีครั้งหนึ่ง ตัวอย่างเช่น
การเรียนสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ๆ
ละ 50 นาที
จะมีการเรียนรู้ดีกว่าสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ๆ ละ
150 นาทีติดต่อกัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าการที่นักเรียนใช้ระยะเวลาในการเรียนเพียงสั้น
ๆ นั้นเป็นระยะเวลาที่ร่างกายและจิตใจยังไม่เหนื่อยอ่อนจึงสามารถเรียนรู้ได้ดีตลอดเวลาที่สั้น
ๆ นั้น และการที่ได้มีโอกาสได้มาเรียนบ่อย
ๆ ครั้งคือสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
ทำให้นักเรียนได้มีโอกาสใกล้จะลืม
และรื้อฟื้นความลืมได้บ่อยและเร็วขึ้น
ก่อนที่จะลืมจนหลุดหายไป ซึ่งกลับตรงกันข้ามกับการเรียนเป็นระยะเวลานานนั้นนอกจากนักเรียนจะเหนื่อยอ่อนทั้งด้านร่างกายและจิตใจ และเรียนไม่ได้ผลดีแล้ว อาจจะทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ในสิ่งที่ผิด
ๆ
และในขณะเดียวกันกว่าจะได้มาเรียนและรื้อฟื้นความทรงจำการเรียนรู้อีกครั้ง บางที่การเรียนรู้เหล่านั้นอาจจะลืมไปอย่างถาวรแล้วก็ได้ทำให้จำเป็นต้องมาเรียนซ้ำอีกครั้ง
23. ในการสอนนักเรียน
ครูควรคำนึงถึงความแตกต่างของอัตราการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคนด้วย
อัตราความเร็วของการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคนนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในความสามารถของการเรียนรู้ทางด้านทักษะของนักเรียนนั้น
มักจะมีความแตกต่างกันในระหว่างบุคคลเป็นอันมาก
คือจะมีความแตกต่างกันในด้านระยะเวลาการเรียนและในระดับความยากง่ายของทักษะต่าง
ๆ
ตลอดทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจด้วย
นักเรียนบางคนอาจจะเรียนได้ดีในระยะแรก ๆ
แต่พอมาในระยะหลัง ๆ อาจจะเรียนได้ช้าลง
ๆ และในที่สุดก็ไม่มีความคืบหน้าเลย แต่ในทางกลับกัน นักเรียนบางคนอาจจะเรียนได้ช้ามากในระยะแรก ๆ แต่ต่อมาในตอนหลังอาจจะได้เร็วขึ้น ๆ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้มักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ ดังนั้น
ครูจึงควรจะได้ศึกษาหาสาเหตุของความช้าหรือเร็วของอัตราความเร็วของการเรียนรู้เหล่านี้ว่าสืบเนื่องมาจากสาเหตุอะไร
ซึ่งบางครั้งอาจจะเนื่องจากวิธีการสอนของครู หรือบางครั้งอาจจะเนื่องจากความยากง่ายของทักษะหรือกิจกรรมที่นำมาสอน ความชัดเจนของจุดประสงค์การเรียนรู้
ความล้าหรือเหนื่อยจากทั้งด้านร่างกายและจิตใจ หรือเหนื่อยจากการจำกัดของลักษณะของร่างกายและจิตใจของนักเรียนก็ได้ เป็นต้น
ดังนั้น
เพื่อช่วยให้การเรียนการสอนได้บรรลุผลตามที่วางไว้ ครูจึงควรจะรีบศึกษาและแก้สาเหตุต่าง ๆ
ที่มาขัดขวางการเรียนรู้เหล่านี้ตั้งแต่ในระยะแรก ๆ
24. ในการสอนทักษะให้ได้ผลดีนั้น
ครูควรอธิบายและสาธิตให้นักเรียนเห็นทักษะที่จะสอนนั้นในภาพรวมเสียก่อน
เมื่อนักเรียนได้เห็นภาพรวมของทักษะนั้นแล้ว จึงทำการแยกแยะให้นักเรียนได้เห็นในสิ่งปลีกย่อยเป็นส่วน
ๆ ต่อไป
เช่น ในการสอนทักษะเกี่ยวกับการตีลูกกระดอนจากพื้นด้วยวิธีการตีแบบหน้ามือในกีฬาเทนนิส
ครูควรอธิบายและสาธิตการตีลูกหน้ามือให้นักเรียนได้เห็นเป็นภาพรวมก่อนเสร็จแล้วจึงค่อนมาแยกแยะให้เห็นตำแหน่งของเท้า ตำแหน่งของหัวไม้แรกเกต ตำแหน่งของมือ
ตำแหน่งของลำตัว
และตำแหน่งของข้อศอก เป็นต้น การกระทำและเริ่มต้นด้วยวิธีนี้จะทำให้นกเรียนได้มีความเข้าใจดีขึ้น
25. วิธีการเรียนที่ถูกต้องนั้นผู้เรียนควรจะได้ฝึกหัดหรือปฏิบัติในวิธีที่ถูกต้อง ควบคู่ไปกลับความเข้าใจในสิ่งที่ได้เรียนนั้นด้วย
การที่นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงด้วนตนเองนั้นก็เท่ากับว่านักเรียนได้นำสิ่งที่เรียนนั้นไปทดลองดูด้วยการฝึก หรือด้วยการนำไปใช้ในสภาพการณ์จริง ได้ผลดีหรือไม่ได้ มากน้อยแค่ไหนก็จะไดนำมาศึกษา วิเคราะห์เพื่อแก้ไขใหม่ให้ดีขึ้นต่อไป
ด้วยเหตุนี้การลงมือเล่นและการลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเองในวิชาพลศึกษา
จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและสำคัญควบคู่กันไปกับการเรียนการสอนเสมอ
26. ในการลงมือเล่นหรือในการลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเองนั้น เพื่อให้นักเรียนได้ทราบสถานภาพของตนเอง ครูควรจะแจ้งให้นักเรียนได้ทราบเป็นระยะ ๆ ถึงผลของการเรียนของนักเรียนแต่ละคนด้วย การที่นักเรียนได้ทราบผลการเรียนของตนเองนั้น อาจจะช่วยให้นักเรียนได้มีความพยายามและกำลังใจในการที่จะตั้งใจเรียนให้มากขึ้นและผลการเรียนดีก็จะตามมา เช่น
ผลการพัฒนาการของสมรรถภาพทางร่างกาย
ในด้านความเร็ว
ในด้านความทนทานของกล้ามเนื้อ
ในด้านการทรงตัว
ในด้านการดีดตัวอย่างเร็วและแรงของกล้ามเนื้อ เป็นต้น
ผลพัฒนาการทางสมรรถภาพของร่างกายด้านต่าง ๆ เหล่านี้
นักเรียนแต่ละคนอาจจะเป็นผู้บันทึกด้วยตนเองเพื่อตรวจสอบตัวเองเป็นระยะ
ๆ ไปด้วยก็ได้
27. เพื่อให้สอดคล้องกับร่างกายและจิตใจของนักเรียนในแต่ละระดับชั้นหรือในแต่ละวัย
และเพื่อให้การเรียนการสอนได้ผลดียิ่งขึ้นในการเลือกและจัดกิจกรรมหรือชนิดของกีฬาเพื่อมาสอนนักเรียนนั้น ครูควรจะใช้หลักการของสรีรวิทยาการกีฬา เป็นแนวทางในเลือกและจัดกิจกรรมทุกครั้งที่มีการเรียนการสอน
เพราะกิจกรรมหรือกีฬาแต่ละอย่างนั้นมีผลต่อร่างกายและจิตใจของนักเรียนแต่ละวัยแตกต่างกันไป
28. แรงกระตุ้นหรือแรงจูงใจมีความสำคัญต่อการเรียนการสอนวิชาพลศึกษามาก ในการเรียนวิชาพลศึกษา ถ้านักเรียนมีแรงกระตุ้นหรือแรงจูงใจมาก ผลการเรียนจะดีขึ้นตามด้วย
แต่อย่างไรก็ตามแรงกระตุ้นหรือแรงจูงใจที่เกิดขึ้นจากภายในหรือความรู้สึกของนักเรียนเองนั้น จะเป็นแรงกระตุ้นหรือแรงจูงใจที่มีผลดีเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่าแรงกระตุ้นหรือแรงจูงใจที่เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก แรงกระตุ้นที่เกิดจากภายในหรือความรู้สึกของตัวนักเรียนเอง ได้แก่
การเห็นประโยชน์และคุณค่าของการเล่นกีฬาหรือการออกกำลังกาย
ความต้องการในการที่จะรักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอด้วยการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา เป็นต้น
แรงกระตุ้นหรือแรงจูงใจที่มาจากปัจจัยภายนอก ได้แก่
สินจ้างรางวัลจากการเล่นกีฬา
ชัยชนะจากการเล่นเพื่อผลประโยชน์หรือประชาสัมพันธ์ตนเอง เป็นต้น
29. ในการเรียนการสอนวิชาพลศึกษานั้น ครูผู้สอนควรจะระลึกไว้เสมอว่า ความสำเร็จในการเรียนของนักเรียนนั้นมีความสัมพันธ์กันกับความพึงพอใจในการเรียนของนักเรียนมาก คือ
ถ้านักเรียนมีความพึงพอใจในการเรียนมาก
ความสำเร็จในการเรียนของนักเรียนก็จะตามมาด้วย ดังนั้น
เพื่อให้การเรียนการสอนได้บรรลุผลดีตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่วางไว้ ก่อนอื่นครูผู้สอนควรจัดสภาพการณ์ของการเรียนการสอนให้มีบรรยากาศที่นักเรียนมีความตื่นตัว มีความสนุกสนานอยากที่จะเรียนหรืออยากที่จะมีส่วนร่วมตลอดเวลาด้วย เช่น
เริ่มตั้งแต่การจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการ ความสามารถ
และความสนใจของนักเรียน มีการเตรียมสถานที่และอุปกรณ์การเรียนการสอน
ทำให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมด้วยความสนุกสนานได้อย่างทั่วถึงกัน
ครูก็สามารถที่จะช่วยเหลือแนะนำนักเรียนได้อย่างทั่วถึงกันและด้วยความเป็นกันเอง เป็นต้น
30. หลักการที่สำคัญในตอนสุดท้ายที่ครูผู้สอนวิชาพลศึกษาจะลืมไม่ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ในการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาที่ดีนั้น จะต้องมีการวัดผลเพื่อประเมินดูว่า
การเรียนการสอนั้นได้บรรลุผลตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่วางไว้หรือไม่มากน้อยเพียงใดด้วยเสมอ ดังนั้น
ในการที่ครูจะวัดเพื่อประเมินผลการเรียน
หรือในการวัดเพื่อให้คะแนนนักเรียน
ครูก็ควรจะทำการวัดผลและประเมินผลการเรียนนั้นด้วนวิธีที่ถูกต้องตามหลักการของวิชาพลศึกษาและมีความยุติธรรมแก่นักเรียนทุก
ๆ คนด้วย
เช่น
ในการวัดครูควรจะวัดตามจุดประสงค์การเรียนรู้ทั้ง 5
ด้าน คือ ด้านสมรรถภาพทางกาย ด้านความรู้
ด้านทักษะ ด้านคุณธรรม และด้านเจตคติที่ได้สอนไปในแต่ละคาบแล้ว
และถ้าการวัดนั้นเป็นการวัดผลเพื่อให้คะแนนนักเรียน คะแนนที่ให้ควรจะเป็นคะแนนที่ได้จากการวัดผลตามจุดประสงค์การเรียนรู้ทั้ง 5 ด้าน
ๆ ละเท่า ๆ กันด้วย
(อ้างอิงจาก
ศาสตราจารย์ ดร.วรศักดิ์ เพียรชอบ. (2548). รวมบทความเกี่ยวกับปรัชญา หลักการ วิธีสอน
และการวัดเพื่อประเมินผลทางพลศึกษา. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.